วันหยุดนี้เขาได้นั่งเครื่องบินกลับมาเยี่ยมแม่ที่บ้าน คิดว่าจะอยู่บ้านเฉยๆเป็นเพื่อนแม่ดูทีวีหรือคุยกันเรื่อยเปื่อย วันรุ่งขึ้นแม่ชวนเขาไปเป็นเพื่อนซื้อไข่ไก่ พอได้ยินเขาอดยิ้มไม่ได้ ที่สำนักงาน เขาคือกรรมการผู้จัดการใหญ่ มีเลขาฯและคนขับรถส่วนตัว แต่เขาก็ยังพยักหน้ารับและตอบว่า “ได้ครับแม่”
พอออกจากบ้าน แม่ก็บอกว่าต้องไปซื้อที่ซุปเปอร์โน้นนะ เขาถามว่า ทำไมไม่ซื้อที่ซุปเปอร์ใกล้บ้านเราเล่า แม่กระพริบตา ทำท่าเหมือน ผู้ชนะ บอกว่า ที่ร้านโน้นไข่ไก่ถูกกว่า ชั่งละสามหยวนสองเอง แต่ที่ร้านนี้ต้องสามหยวนสี่ เขาทำท่าห่อปากแบบว่าโอ๊ะโอ๋ เพิ่งรู้นะเนี่ย พอเดิน มาถึงข้างถนน เขาทำท่าจะโบกมือเรียกรถแท็กซี่ แต่แม่บอกว่า ไปรถเมล์สาย 12 กันเถอะนะ เขาถาม ทำไมต้องสาย 12 ด้วย แม่บอกว่า สาย 12 เป็นรถรับส่งของทางห้างนี้ ไม่ต้องเสียค่ารถ ถ้านั่งรถสายอื่น ต้องเสีย 2 หยวน เขาอดยิ้มไม่ได้ แต่ก็บอกกับแม่ไปว่า "ดีครับ"
พอขึ้นนั่งบนรถสาย 12 ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นคนสูงอายุ ล้วนแต่สนิทสนมกับคุณแม่ทั้งนั้น พอทราบว่าเขาเป็นเพื่อนแม่มาซื้อไข่ไก่ ต่างมองเขาด้วยสายตาที่อบอุ่น เหมือนกับว่า เขาก็เป็นลูกชายของพวกเขาเหล่านั้นเช่นกัน ส่วนใจของเขาในตอนนั้นรู้สึกอบอุ่นไม่แพ้กัน
หลังจากซื้อไข่ไก่ได้ 10 ชั่ง แม่ดึงให้เขานั่งรอที่เก้าอี้หน้าห้าง บอกว่าต้องรออีก 1 ชั่วโมง รถสาย 12 คันเดิมถึงจะกลับมารับอีก ต้องรออีกตั้ง 1 ชั่วโมง เขารู้สึกหัวใจร้อนรุ่มคุกรุ่นขึ้นมาทันที แต่ก็ข่มใจไว้ใช้ความอดทนข่มจิตให้เย็นลง แม่ก็ชวนเขาคุยไปเรื่อย พูดถึงเรื่องราวตอนที่เขายังไปโรงเรียน เผลอแผล็บเดียว เวลา 1 ชั่วโมงก็ผ่านไปเร็วเหมือนกัน
ในที่สุด ก็ได้นั่งสาย 12 กลับมาบ้าน พอถือไข่ไก่เหล่านั้นลงจากรถได้ เขาเป่าปากระบายอย่างโล่งอก คุณแม่ดูเหมือนจะมีความสุขมาก นับนิ้วให้ฟังว่า ไข่ไก่ 10 ชั่งประหยัดไปได้ 2 หยวน ประหยัดค่ารถไปกลับสองคนอีก 4 หยวน รวมแล้วประหยัดตั้ง 6 หยวน แต่ในสมอง เขากลับคิดคนละอย่าง ตั้งแต่ออกจากบ้านจนถึงตอนนี้ ปาเข้าไป 4 ชั่วโมง หากให้เขาใช้เวลา 4 ชั่วโมงนี้ในที่ทำงาน เขาสามารถทำเงินได้ อีกไม่ต่ำกว่าหมื่นหยวน.. เขาได้แต่แอบถอนใจเบาๆ
ตอนใกล้จะถึงบ้าน เดินผ่านร้านขายผลไม้ร้านหนึ่ง แม่ใช้เงิน 6 หยวนซื้อแตงโมลูกโตลูกหนึ่ง พอกลับถึงบ้าน จัดแจงผ่าแตงโมทันที เนื้อแตงโมแดงสด น่ารับประทานมาก ตัวเขาเองรู้สึกกระหายน้ำตั้งนานแล้ว ก็เลยไม่ฟังอีร้าค่าอีรม หยิบแตงโมได้หนึ่งชิ้นก็งับเลย
แตงโมหวานมาก เขากินแบบตะกรุมตะกราม เหมือนหมูเลย นานแล้วที่ไม่ได้กินผลไม้อย่างฉ่ำใจเช่นนี้ พอเงยหน้า เห็นแม่กำลังมองเขาอยู่ ในตามีแววเปียกชื้น บนหน้ากลับระบายไปด้วยความสุขและเปี่ยมรัก ทันไดนั้น ใจเขาเหมือนเส้นพิณที่ถูกดีดจนสั่นสะท้าน ภาพแบบนี้ เคยเห็นที่ไหนมาก่อนนะ
ตอนยังเล็ก ฐานะทางบ้านยากจน และเขาเป็นเด็กที่ชอบกินมาก(ตะกละ ว่างั้นเถอะ) ตอนเย็นๆ เขามักแอบไปเก็บเอาแตงโมที่บ้านอื่น กินเหลือแต่เปลือก เอามาล้างในคลองแล้วแทะกินอย่างตะกละ (เห็นมั้ย) พอแม่รู้เข้า แม่ใช้เวลา 3 วันเพื่อที่จะทอเส้นเชือกแล้วเอาไปขายเพื่อซื้อแตงโมมาให้เขา แล้วนั่งดูเขากินอย่างเอร็ดอร่อยเหมือนหมู
เขาจ้องดูแม่ด้วยความสะท้าน กลืนแตงโมที่เต็มปากลงไป ทันใดนั้น เขารู้สึกว่าเขาเริ่มเข้าใจคุณแม่บ้างแล้ว ยามยากลำบาก แม่ขยันและ อดออมส่งให้เขาเรียน เลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่ พอเริ่มมีอันจะกิน ความขยันและอดออมได้กลายเป็นรูปแบบดำรงชีวิตของแม่ที่ยังคงทำให้แม่พอใจและมีความสุขอยู่เสมอ
รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของเขา รู้สึกดีใจที่วันนี้ตัวเองยอมทนเป็นเพื่อนแม่ ทำให้แม่ประหยัดเงินได้ 6 หยวน เงิน 6 หยวนนี้ เทียบกับการที่ตัวเองสามารถหาได้เป็นหมื่นหยวนจากการทำงาน คุณค่าไม่ต่างกันเลย
เพราะ บางที.. เวลาและเงินทอง จะมีค่าก็ต่อเมื่อมีรักด้วยเท่านั้น
วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2553
รอยเท้าเล็กๆของเราเอง
มนุษย์ทุกคนล้วนมีความฝัน แต่หลายคนผ่านมาครึ่งชีวิต
ก็ไม่อาจทำฝันให้เป็นจริง อุปสรรคของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ของบางคน คือ ความกลัว ของอีกบางคนคือความท้อแท้
ความเศร้าหมอง ความเบื่อหน่าย
เหล่านี้คือเชื้อโรคแห่งอารมณ์ที่ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระในหัวใจ
บางคนกวาดขยะเข้าไปซ่อนใต้พรม หลับตาลืมมันเสีย
แต่ทุกครั้งที่ลืมตา ปัญหาก็รออยู่ตรงหน้าเรา เช่นเดิม
นานวันเข้าขยะที่เก็บสะสมไว้ก็เน่าเหม็น
มองไปรอบตัว เราหกพันล้านคนอาศัยรวมกันบนโลกยุคที่พัฒนา
ที่สุดยุคหนึ่ง แต่ยิ่งเรามีพร้อมแทบทุกอย่าง กลับยิ่งดูเศร้าหมอง
ไร้สุข
ชีวิตที่ดีกับชีวิตที่หม่นหมองต่างกันด้วยคำๆเดียว ทัศนคติ
ทัศนคติที่ดีคือการไม่ยอมแพ้เมื่อหกล้ม ลุกขึ้นมาก้าวเดิน
ไปข้างหน้า สร้างรอยเท้าของตนให้ปรากฎบนผืนโลก
เพราะแม้จะจางและเล็ก แต่ก็เป็นรอยเท้าของเราเอง
รอยเท้าเล็กๆ ของเราเอง เพราะชีวิตยังมีความหมาย และเพราะใจของคนเรา
ก็เช่นเดียวกับเครื่องยนต์ ต้องทำความสะอาด
เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องสม่ำเสมอ
ก็ไม่อาจทำฝันให้เป็นจริง อุปสรรคของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ของบางคน คือ ความกลัว ของอีกบางคนคือความท้อแท้
ความเศร้าหมอง ความเบื่อหน่าย
เหล่านี้คือเชื้อโรคแห่งอารมณ์ที่ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระในหัวใจ
บางคนกวาดขยะเข้าไปซ่อนใต้พรม หลับตาลืมมันเสีย
แต่ทุกครั้งที่ลืมตา ปัญหาก็รออยู่ตรงหน้าเรา เช่นเดิม
นานวันเข้าขยะที่เก็บสะสมไว้ก็เน่าเหม็น
มองไปรอบตัว เราหกพันล้านคนอาศัยรวมกันบนโลกยุคที่พัฒนา
ที่สุดยุคหนึ่ง แต่ยิ่งเรามีพร้อมแทบทุกอย่าง กลับยิ่งดูเศร้าหมอง
ไร้สุข
ชีวิตที่ดีกับชีวิตที่หม่นหมองต่างกันด้วยคำๆเดียว ทัศนคติ
ทัศนคติที่ดีคือการไม่ยอมแพ้เมื่อหกล้ม ลุกขึ้นมาก้าวเดิน
ไปข้างหน้า สร้างรอยเท้าของตนให้ปรากฎบนผืนโลก
เพราะแม้จะจางและเล็ก แต่ก็เป็นรอยเท้าของเราเอง
รอยเท้าเล็กๆ ของเราเอง เพราะชีวิตยังมีความหมาย และเพราะใจของคนเรา
ก็เช่นเดียวกับเครื่องยนต์ ต้องทำความสะอาด
เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องสม่ำเสมอ
วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2553
เรื่องของการลงโทษ
วันหนึ่งเมื่อยังเด็ก
แอนดี้น้องชายของฉันนั่งอยู่ที่มุมห้องนั่งเล่น
.....ในมือข้างหนึ่งมีปากกาหนึ่งด้าม
ขณะที่ในมืออีกข้างหนึ่งก็ถือหนังสือสะสมราคาแพงของพ่อ
แอนดี้คงจะปีนขึ้นไปหยิบจากบนชั้นหนังสือ .....
เมื่อพ่อเดินเข้ามาในห้อง
แอนดี้ก็ก้มหน้างุดและทำท่ากระสับกระส่าย
เขารู้ตัวดีเชียวละว่ากำลังทำผิดแม้จากระยะไกล
ฉันก็เห็นรอยขีดเขียนเปรอะไปทั่วบนหน้าหนังสือของพ่อ
และตอนนี้แอนดี้ก็กำลังจ้องมองตาด้วยความหวาดหวั่น
รอคอยที่จะถูกทำโทษ พ่อหยิบหนังสือขึ้นมามอง
แล้วก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้โดยไม่พูดอะไรสักคำ .....
หนังสือทุกเล่มมีความหมายต่อพ่อมาก... หนังสือคือความรู้
และหนังสือเล่มนี้ก็เป็นหนังสือสะสมราคาแพง
แต่ในขณะเดียวกันท่านก็เป็นพ่อที่รักลูกมาก.....
สิ่งที่พ่อทำในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านั้นยอดเยี่ยมมาก
แทนที่ท่านจะลงโทษหรือดุแอนดี้ หรือแม้แต่ตำหนิความซุกซน !!
พ่อกลับนั่งลง ... หยิบปากกาในมือแอนดี้ขึ้นมาถือไว้
แล้วก็เขียนอะไรบางอย่างลงในหน้าหนังสือสือสะสมราคาแพงนั่นเสียเอง
พ่อเขียนที่ข้างๆ ลายเส้นที่แอนดี้ขีดว่า
ภาษาของแอนดี้เมื่ออายุสองขวบ.....
ต่อไปไม่ว่าครั้งไหนที่พ่อหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเปิด
พ่อก็จะเห็นใบหน้าน้อยๆ ที่น่ารักและดวงตาที่สดใสของลูก
และจะขอบคุณพระเจ้าที่ประทานเด็กน้อยคนนี้มาให้ขีดเขียนบนหนังสือแสนหวงของพ่อ
ลูกทำให้หนังสือเล่มนี้ของพ่อมีความหมาย.... เหมือนกับที่พี่ๆ
ของลูกนำความหมายมาสู่ชีวิตของพ่อเหมือนกัน”
"ว้าว...” ฉันคิด นี่หรือคือการลงโทษของพ่อ?
นานๆครั้งฉันก็จะหยิบหนังสือที่สะสมไว้มาให้ลูกหลานของฉันขีดเขียนเล่น
ทุกครั้งที่มองดูลายมือหยุกหยิกเหล่านั้น
ฉันก็จะนึกถึงสิ่งที่พ่อทำในวันนั้น
พ่อได้สอนให้ฉันรู้ว่า...’อะไรกันแน่ที่มีค่าต่อชีวิตของเราอย่างแท้จริง’
.......ซึ่งนั่นก็คือ ‘คนที่เรารัก ไม่ใช่วัตถุสิ่งของ’
ลองมองย้อนดูตัวคุณเองในแต่ละวัน เหตุการณ์แบบนี้
เกิดขึ้นได้อยู่เสมอ
เช่นคุณนั่งกินข้าวกับภรรยาอยู่ที่ร้านอาหาร
เธอหวังดีอยากจะเทซอสให้คุณ
แต่มันกลับหกไปเลอะเสื้อตัวเก่งของคุณ
และคุณก็ทำสีหน้าที่ตำหนิเธอและคำพูดที่บอกว่า...
“เดี๋ยวผมเทเองก็ได้” นอกจากคำขอโทษที่เธอพร่ำบอก
น้ำตาใสๆก็เริ่มเอ่อขึ้นในใจเช่นเดียวกัน
......เพราะอาหารมื้อนั้น ไม่มีรสชาติสำหรับเธอเสียแล้ว...
แต่ถ้าคุณบอกกับเธอว่า ถ้าซักไม่ออกก็ไม่เป็นไรหรอก
เมื่อผมหยิบเสื้อขึ้นมาใช้ครั้งใด
ผมจะหวนนึกถึงร้านอาหารนี้ทุกครั้งไป...
ที่ได้มีโอกาสมาทานข้าวกับคุณ
และได้คิดถึงทุกครั้งว่าภรรยารัก
และเอาใจใส่ผมมากเท่าใด....
อยากปรนนิบัติเอาใจ (จนเทซอสหกใส่ผม)
แต่ว่าคราวหน้าออกมาทานข้าว ผมจะเป็นคนเทซอสให้คุณมั้งล่ะ
ทีนี้ตาผมมั่ง) รอยยิ้มจากหัวใจของเธอได้เริ่มโบยบินแล้ว
..... แค่นี้คุณก็ลงโทษเธอให้ระวังมากขึ้นแล้วล่ะครับ
สิ่งที่มีค่าต่อชีวิตคนเรานั้นไม่ใช่ นาฬิกาเรือนละแสน
หรือเนคไทเส้นละหลายๆพัน แต่เป็นความอบอุ่นในหัวใจ
ที่คุณรู้ว่ามีใครคนหนึ่ง เฝ้ารัก
เฝ้าถนอมความรู้สึกคุณอยู่ตลอดเวลาต่างหาก... แล้วคุณละครับ
แอนดี้น้องชายของฉันนั่งอยู่ที่มุมห้องนั่งเล่น
.....ในมือข้างหนึ่งมีปากกาหนึ่งด้าม
ขณะที่ในมืออีกข้างหนึ่งก็ถือหนังสือสะสมราคาแพงของพ่อ
แอนดี้คงจะปีนขึ้นไปหยิบจากบนชั้นหนังสือ .....
เมื่อพ่อเดินเข้ามาในห้อง
แอนดี้ก็ก้มหน้างุดและทำท่ากระสับกระส่าย
เขารู้ตัวดีเชียวละว่ากำลังทำผิดแม้จากระยะไกล
ฉันก็เห็นรอยขีดเขียนเปรอะไปทั่วบนหน้าหนังสือของพ่อ
และตอนนี้แอนดี้ก็กำลังจ้องมองตาด้วยความหวาดหวั่น
รอคอยที่จะถูกทำโทษ พ่อหยิบหนังสือขึ้นมามอง
แล้วก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้โดยไม่พูดอะไรสักคำ .....
หนังสือทุกเล่มมีความหมายต่อพ่อมาก... หนังสือคือความรู้
และหนังสือเล่มนี้ก็เป็นหนังสือสะสมราคาแพง
แต่ในขณะเดียวกันท่านก็เป็นพ่อที่รักลูกมาก.....
สิ่งที่พ่อทำในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านั้นยอดเยี่ยมมาก
แทนที่ท่านจะลงโทษหรือดุแอนดี้ หรือแม้แต่ตำหนิความซุกซน !!
พ่อกลับนั่งลง ... หยิบปากกาในมือแอนดี้ขึ้นมาถือไว้
แล้วก็เขียนอะไรบางอย่างลงในหน้าหนังสือสือสะสมราคาแพงนั่นเสียเอง
พ่อเขียนที่ข้างๆ ลายเส้นที่แอนดี้ขีดว่า
ภาษาของแอนดี้เมื่ออายุสองขวบ.....
ต่อไปไม่ว่าครั้งไหนที่พ่อหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเปิด
พ่อก็จะเห็นใบหน้าน้อยๆ ที่น่ารักและดวงตาที่สดใสของลูก
และจะขอบคุณพระเจ้าที่ประทานเด็กน้อยคนนี้มาให้ขีดเขียนบนหนังสือแสนหวงของพ่อ
ลูกทำให้หนังสือเล่มนี้ของพ่อมีความหมาย.... เหมือนกับที่พี่ๆ
ของลูกนำความหมายมาสู่ชีวิตของพ่อเหมือนกัน”
"ว้าว...” ฉันคิด นี่หรือคือการลงโทษของพ่อ?
นานๆครั้งฉันก็จะหยิบหนังสือที่สะสมไว้มาให้ลูกหลานของฉันขีดเขียนเล่น
ทุกครั้งที่มองดูลายมือหยุกหยิกเหล่านั้น
ฉันก็จะนึกถึงสิ่งที่พ่อทำในวันนั้น
พ่อได้สอนให้ฉันรู้ว่า...’อะไรกันแน่ที่มีค่าต่อชีวิตของเราอย่างแท้จริง’
.......ซึ่งนั่นก็คือ ‘คนที่เรารัก ไม่ใช่วัตถุสิ่งของ’
ลองมองย้อนดูตัวคุณเองในแต่ละวัน เหตุการณ์แบบนี้
เกิดขึ้นได้อยู่เสมอ
เช่นคุณนั่งกินข้าวกับภรรยาอยู่ที่ร้านอาหาร
เธอหวังดีอยากจะเทซอสให้คุณ
แต่มันกลับหกไปเลอะเสื้อตัวเก่งของคุณ
และคุณก็ทำสีหน้าที่ตำหนิเธอและคำพูดที่บอกว่า...
“เดี๋ยวผมเทเองก็ได้” นอกจากคำขอโทษที่เธอพร่ำบอก
น้ำตาใสๆก็เริ่มเอ่อขึ้นในใจเช่นเดียวกัน
......เพราะอาหารมื้อนั้น ไม่มีรสชาติสำหรับเธอเสียแล้ว...
แต่ถ้าคุณบอกกับเธอว่า ถ้าซักไม่ออกก็ไม่เป็นไรหรอก
เมื่อผมหยิบเสื้อขึ้นมาใช้ครั้งใด
ผมจะหวนนึกถึงร้านอาหารนี้ทุกครั้งไป...
ที่ได้มีโอกาสมาทานข้าวกับคุณ
และได้คิดถึงทุกครั้งว่าภรรยารัก
และเอาใจใส่ผมมากเท่าใด....
อยากปรนนิบัติเอาใจ (จนเทซอสหกใส่ผม)
แต่ว่าคราวหน้าออกมาทานข้าว ผมจะเป็นคนเทซอสให้คุณมั้งล่ะ
ทีนี้ตาผมมั่ง) รอยยิ้มจากหัวใจของเธอได้เริ่มโบยบินแล้ว
..... แค่นี้คุณก็ลงโทษเธอให้ระวังมากขึ้นแล้วล่ะครับ
สิ่งที่มีค่าต่อชีวิตคนเรานั้นไม่ใช่ นาฬิกาเรือนละแสน
หรือเนคไทเส้นละหลายๆพัน แต่เป็นความอบอุ่นในหัวใจ
ที่คุณรู้ว่ามีใครคนหนึ่ง เฝ้ารัก
เฝ้าถนอมความรู้สึกคุณอยู่ตลอดเวลาต่างหาก... แล้วคุณละครับ
ต้นไม้,ขวดแก้ว,ความรัก,
หยิบขวดแก้วมาหนึ่งขวด มีคนรักหนึ่งคน
เติมน้ำในขวดแก้ว ครึ่งขวด หยิบต้นไม้ ใส่ลงไป
เติมเต็มให้กับคนรัก ดูแล ห่วงใย เอาใจใส่กันและกัน
นำต้นไม้ในขวดแก้วไปวางไว้ในที่ ที่ เห็นว่าสมควร
เก็บเอาคนรักไว้ในใจ ให้อิสระ ซึ่งกันและกัน
ต้นไม้ในขวดแก้ว ไม่ต้องดูแลเอาใจใส่ตลอดเวลา นาน ๆ เติมน้ำให้หน
คนรัก ไม่จำเป็นต้องเห็นหน้ากัน หรืออยู่ด้วยกันตลอดทั้งวัน
แต่ไม่ลืมว่าเรามีกันและกัน
ต้นไม้ในขวดแก้ว อยู่ได้ตามลำพัง ในขวดแก้วต้นเดียว ได้ตลอดไป
คนรักต่างคนต่างอยู่ แต่ไม่ตลอดไป
เมื่อถึงเวลาอันควรเมื่อใด เราจะไม่แยกจากกัน
ต้นไม้ในขวดแก้ว ไม่มีวันตาย ถ้าไม่ขาดน้ำ
คนรัก ไม่มีวันพรากจากกัน
ถ้าหมั่นดูแลหัวใจของกันและกัน ที่สำคัญ คือการซื่อสัตย์ต่อคนรัก
ต้นไม้ในขวดแก้ว แตกสลายได้ง่าย เมื่อเผลอไปปัด
หรือวางในพื้นที่ไม่เรียบ ? หมิ่นเหม่
คนรัก แตกแยกจากกันได้ยาก
หากไม่แก้ปัญหา หันหน้าเข้าหากัน
เอาเหตุผลมาคุยกัน ให้เกียรติกัน
ทำไมต้นไม้ในขวดแก้ว ถึงไม่ตาย เมื่อมันไม่มีดิน
เพราะต้นไม้บางตันหยั่งรากได้ทั้งในน้ำ หรือ ใต้ดิน
ทำไมคนรักไม่หวงแหน หรือ ระแวง ว่าอีกคนมีใครซ่อนไว้หรือเปล่า
เพราะรากฐานของคนสองคนอยู่ที่การไว้ใจ
ดังนั้น ตันไม้ในขวดแก้ว จึงดูแล ได้ง่าย
เมื่อรู้ว่ามันเป็นพืชชนิดใด
แต่??คนรัก?.ยากนัก หากไม่รู้จักเอาใจเค้ามาใส่ใจเรา
ไม่รู้จักการให้อภัย ไม่รู้จักการไว้ไจ เราก็จะไม่มีวันรู้จัก?
ความรัก?ที่แท้จริง???
เติมน้ำในขวดแก้ว ครึ่งขวด หยิบต้นไม้ ใส่ลงไป
เติมเต็มให้กับคนรัก ดูแล ห่วงใย เอาใจใส่กันและกัน
นำต้นไม้ในขวดแก้วไปวางไว้ในที่ ที่ เห็นว่าสมควร
เก็บเอาคนรักไว้ในใจ ให้อิสระ ซึ่งกันและกัน
ต้นไม้ในขวดแก้ว ไม่ต้องดูแลเอาใจใส่ตลอดเวลา นาน ๆ เติมน้ำให้หน
คนรัก ไม่จำเป็นต้องเห็นหน้ากัน หรืออยู่ด้วยกันตลอดทั้งวัน
แต่ไม่ลืมว่าเรามีกันและกัน
ต้นไม้ในขวดแก้ว อยู่ได้ตามลำพัง ในขวดแก้วต้นเดียว ได้ตลอดไป
คนรักต่างคนต่างอยู่ แต่ไม่ตลอดไป
เมื่อถึงเวลาอันควรเมื่อใด เราจะไม่แยกจากกัน
ต้นไม้ในขวดแก้ว ไม่มีวันตาย ถ้าไม่ขาดน้ำ
คนรัก ไม่มีวันพรากจากกัน
ถ้าหมั่นดูแลหัวใจของกันและกัน ที่สำคัญ คือการซื่อสัตย์ต่อคนรัก
ต้นไม้ในขวดแก้ว แตกสลายได้ง่าย เมื่อเผลอไปปัด
หรือวางในพื้นที่ไม่เรียบ ? หมิ่นเหม่
คนรัก แตกแยกจากกันได้ยาก
หากไม่แก้ปัญหา หันหน้าเข้าหากัน
เอาเหตุผลมาคุยกัน ให้เกียรติกัน
ทำไมต้นไม้ในขวดแก้ว ถึงไม่ตาย เมื่อมันไม่มีดิน
เพราะต้นไม้บางตันหยั่งรากได้ทั้งในน้ำ หรือ ใต้ดิน
ทำไมคนรักไม่หวงแหน หรือ ระแวง ว่าอีกคนมีใครซ่อนไว้หรือเปล่า
เพราะรากฐานของคนสองคนอยู่ที่การไว้ใจ
ดังนั้น ตันไม้ในขวดแก้ว จึงดูแล ได้ง่าย
เมื่อรู้ว่ามันเป็นพืชชนิดใด
แต่??คนรัก?.ยากนัก หากไม่รู้จักเอาใจเค้ามาใส่ใจเรา
ไม่รู้จักการให้อภัย ไม่รู้จักการไว้ไจ เราก็จะไม่มีวันรู้จัก?
ความรัก?ที่แท้จริง???
วันพุธที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2553
ตอน. กำเนิดกามเทพน้อย
ในอดีตกาลนามมาแล้ว เค้าว่ากันว่า
มนุษย์ทุกคนมีหัวใจด้วยกันจริง ๆ
แล้วทั้งหมดสองดวง
แต่ยังมีเทวดาน้อยอยู่องค์หนึ่งซึ่งไม่รู้จักสิ่งที่เค้าเรียกว่าหัวใจ
ด้วยความที่สงสัยว่าหัวใจนั้นมันเป็นอย่างไร
เทวดาน้อยจึงได้ไปถามนางฟ้าผู้ที่ดูแลทางเข้าออกของประตูสวรรค์…
“ท่านนางฟ้า โปรดบอกข้า หัวใจคืออะไร…?”
“หัวใจ…ก็คือสิ่ง บริสุทธิ์ สวยงาม ที่สุดของมนุษย์ยังไงเล่า”
“แล้วสิ่งที่เรียกมนุษย์อยู่แห่งใดล่ะ…?”
“อยู่เบื้องล่างยังอีกฟากของประตูสวรรค์นี่ยังไงเล่า”
“เปิดประตูให้ข้าไปชมหัวใจของมนุษย์ได้มั้ย นางฟ้า…?”
“มิได้หรอก มันผิดกฎของสวรรค์ เจ้ากลับไปซะเถอะ
แค่เจ้ามาสนทนากับข้าก็ผิดมากเท่าใดแล้ว เจ้ารู้ตัวมั้ย
เจ้าเทวดาน้อย”
เทวนาน้อยทำทีว่าหันหลังกลับไป
แต่ด้วยความที่อยากได้หัวใจมาครอบครองไว้เป็นของตน
จึงได้นำคันศรธนูมา
แล้วยิงไปที่นางฟ้าผู้รักษาประตูสวรรค์หวังจะให้นางฟ้านั้นสลบไปในชั่วข้ามคืนนั้นเอง
เทวดาน้อยแอบเปิดประตูสวรรค์แล้วบินไปยังโลกมนุษย์
กลางดึกของคืนนี้เป็นคืนที่เงียบสงบ
มนุษย์ทุกคนต่างหลับกันหมดแล้ว
เทวดาน้อยจึงแอบบินเข้าไปในบ้านของมนุษย์ทุกคน
แล้วไปเอาสิ่งที่เรียกว่า
“หัวใจ” ของทุกคนบนโลกมนุษย์ มาคนละหนึ่งดวง
แล้วนำลอยขึ้นไปบนสวรรค์
หวังจะขโมยกลับไปเป็นของตน แต่ระหว่างที่เทวดาน้อยกำลังกลับเข้าไป
ปากทางของประตูสวรรค์ได้มีนางฟ้าและเทวดาแห่งความรักยืนกั้นอยู่
เทวดาน้อยเห็นดังนั้นจึงบินหนี
แต่นางฟ้าองค์หนึ่งได้บินตามเพื่อมาแย่งหัวใจของมนุษย์ทั้งหมดมาไว้
แต่เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อหัวใจทั้งหมดได้เกิดกระจายออกแล้วร่วง
โปรยปรายไปยังบนโลกมนุษย์
และได้เกิดการสลับสับเปลี่ยนเจ้าของหัวใจกันในค่ำคืนนั้นเอง
เทวดาน้อยถูกลงโทษด้วยการเป็นเด็กตลอดกาล
และเปลี่ยนชื่อเป็นกามเทพให้อยู่บนโลกมนุษย์เพื่อตามหาหัวใจสองดวงของมนุษย์ที่ไ
ปอยู่กับใครอีกดวงหนึ่ง
ให้มาพบกันตลอดไป
- - -
ตอนนี้หัวใจของคุณอีกดวงหนึ่งก็คงอาจจะอยู่กับใครบนโลกใบนี้ก็เป็นได้
อย่ารอให้ กามเทพ เป็นคนหาหัวใจให้คุณ…
ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องตามหาหัวใจของคุณคืนมา
และเมื่อคุณได้มันคืนมาแล้ว
จงดูแลหัวใจคุณให้ดี อย่าได้ปล่อยให้หัวใจมันจากคุณไปอีก…
เพราะคุณอาจจะไม่มีวันเจอหัวใจอีกดวงที่แท้จริงของคุณตลอดชีวิต
หรือชั่วชีวิตก็เป็นได้ - - -
มนุษย์ทุกคนมีหัวใจด้วยกันจริง ๆ
แล้วทั้งหมดสองดวง
แต่ยังมีเทวดาน้อยอยู่องค์หนึ่งซึ่งไม่รู้จักสิ่งที่เค้าเรียกว่าหัวใจ
ด้วยความที่สงสัยว่าหัวใจนั้นมันเป็นอย่างไร
เทวดาน้อยจึงได้ไปถามนางฟ้าผู้ที่ดูแลทางเข้าออกของประตูสวรรค์…
“ท่านนางฟ้า โปรดบอกข้า หัวใจคืออะไร…?”
“หัวใจ…ก็คือสิ่ง บริสุทธิ์ สวยงาม ที่สุดของมนุษย์ยังไงเล่า”
“แล้วสิ่งที่เรียกมนุษย์อยู่แห่งใดล่ะ…?”
“อยู่เบื้องล่างยังอีกฟากของประตูสวรรค์นี่ยังไงเล่า”
“เปิดประตูให้ข้าไปชมหัวใจของมนุษย์ได้มั้ย นางฟ้า…?”
“มิได้หรอก มันผิดกฎของสวรรค์ เจ้ากลับไปซะเถอะ
แค่เจ้ามาสนทนากับข้าก็ผิดมากเท่าใดแล้ว เจ้ารู้ตัวมั้ย
เจ้าเทวดาน้อย”
เทวนาน้อยทำทีว่าหันหลังกลับไป
แต่ด้วยความที่อยากได้หัวใจมาครอบครองไว้เป็นของตน
จึงได้นำคันศรธนูมา
แล้วยิงไปที่นางฟ้าผู้รักษาประตูสวรรค์หวังจะให้นางฟ้านั้นสลบไปในชั่วข้ามคืนนั้นเอง
เทวดาน้อยแอบเปิดประตูสวรรค์แล้วบินไปยังโลกมนุษย์
กลางดึกของคืนนี้เป็นคืนที่เงียบสงบ
มนุษย์ทุกคนต่างหลับกันหมดแล้ว
เทวดาน้อยจึงแอบบินเข้าไปในบ้านของมนุษย์ทุกคน
แล้วไปเอาสิ่งที่เรียกว่า
“หัวใจ” ของทุกคนบนโลกมนุษย์ มาคนละหนึ่งดวง
แล้วนำลอยขึ้นไปบนสวรรค์
หวังจะขโมยกลับไปเป็นของตน แต่ระหว่างที่เทวดาน้อยกำลังกลับเข้าไป
ปากทางของประตูสวรรค์ได้มีนางฟ้าและเทวดาแห่งความรักยืนกั้นอยู่
เทวดาน้อยเห็นดังนั้นจึงบินหนี
แต่นางฟ้าองค์หนึ่งได้บินตามเพื่อมาแย่งหัวใจของมนุษย์ทั้งหมดมาไว้
แต่เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อหัวใจทั้งหมดได้เกิดกระจายออกแล้วร่วง
โปรยปรายไปยังบนโลกมนุษย์
และได้เกิดการสลับสับเปลี่ยนเจ้าของหัวใจกันในค่ำคืนนั้นเอง
เทวดาน้อยถูกลงโทษด้วยการเป็นเด็กตลอดกาล
และเปลี่ยนชื่อเป็นกามเทพให้อยู่บนโลกมนุษย์เพื่อตามหาหัวใจสองดวงของมนุษย์ที่ไ
ปอยู่กับใครอีกดวงหนึ่ง
ให้มาพบกันตลอดไป
- - -
ตอนนี้หัวใจของคุณอีกดวงหนึ่งก็คงอาจจะอยู่กับใครบนโลกใบนี้ก็เป็นได้
อย่ารอให้ กามเทพ เป็นคนหาหัวใจให้คุณ…
ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องตามหาหัวใจของคุณคืนมา
และเมื่อคุณได้มันคืนมาแล้ว
จงดูแลหัวใจคุณให้ดี อย่าได้ปล่อยให้หัวใจมันจากคุณไปอีก…
เพราะคุณอาจจะไม่มีวันเจอหัวใจอีกดวงที่แท้จริงของคุณตลอดชีวิต
หรือชั่วชีวิตก็เป็นได้ - - -
วันอังคารที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2553
ยารักษาโรคหัวใจ
ในเวลาที่ของทุกอย่างมีชีวิต
หัวใจล่องลอยอยู่นอกร่างกาย
วันหนึ่งหัวใจก็ลอยไปถูกใบมีดกรีดเข้า
หัวใจเจ็บมากและบาดแผลก็ช่างลึกและน่ากลัวเหลือเกิน
หัวใจลอยไปหมู่บ้านยา
หวังเพียงให้เหล่ายาช่วยรักษา
ยากลับว่าแผลนั้นลึกเกินไปที่ยาจะสมานได้
หัวใจจึงบินไปหาพลาสเตอร์
พลาสเตอร์ก็บอกว่าแผลของเธอใหญ่เกินไปที่พลาสเตอร์จะปิดได้
หัวใจจึงลอยกลับไปหาใบมีด
ใบมีดจึงถามว่ามาให้ใบมีดกรีดแผลให้ลึกขึ้นหรืออย่างไร
หัวใจคิดว่าตนของตนสลายไปแน่แล้วจึงขอให้ใบมีดกรีดตนเอง
หัวใจลอยไปในสภาพไกล้แหลกสลายเต็มที
แผลทั้งแหวะหวะทั้งลึกและฉีกขาดเลือดไหลไม่ยอมหยุด
จนมีเสียงหนึ่งทักขึ้น
เราจะรักษาแผลให้เธอเองแต่เธอคงต้องอยู่ที่นี่สักพัก
ด้วยความหวังเพียงน้อยนิดหัวใจจึงพักอยู่ที่นั่น
นานเท่าไรไม่รู้
วันหนึ่งหัวใจตื่นขึ้นมาพบว่าแผลได้หายไปแล้ว
หัวใจร้องเรียกหาว่าใครที่รักษาแผลของหัวใจ
หัวใจลอยออกไปข้างนอกจนพบกับปัญญา
จึงถามปัญญาว่าใครที่เป็นผู้รักษาแผลให้หัวใจ
ปัญญาจึงตอบว่า"เวลา"เป็นผู้รักษาแผลของหัวใจ...
หัวใจล่องลอยอยู่นอกร่างกาย
วันหนึ่งหัวใจก็ลอยไปถูกใบมีดกรีดเข้า
หัวใจเจ็บมากและบาดแผลก็ช่างลึกและน่ากลัวเหลือเกิน
หัวใจลอยไปหมู่บ้านยา
หวังเพียงให้เหล่ายาช่วยรักษา
ยากลับว่าแผลนั้นลึกเกินไปที่ยาจะสมานได้
หัวใจจึงบินไปหาพลาสเตอร์
พลาสเตอร์ก็บอกว่าแผลของเธอใหญ่เกินไปที่พลาสเตอร์จะปิดได้
หัวใจจึงลอยกลับไปหาใบมีด
ใบมีดจึงถามว่ามาให้ใบมีดกรีดแผลให้ลึกขึ้นหรืออย่างไร
หัวใจคิดว่าตนของตนสลายไปแน่แล้วจึงขอให้ใบมีดกรีดตนเอง
หัวใจลอยไปในสภาพไกล้แหลกสลายเต็มที
แผลทั้งแหวะหวะทั้งลึกและฉีกขาดเลือดไหลไม่ยอมหยุด
จนมีเสียงหนึ่งทักขึ้น
เราจะรักษาแผลให้เธอเองแต่เธอคงต้องอยู่ที่นี่สักพัก
ด้วยความหวังเพียงน้อยนิดหัวใจจึงพักอยู่ที่นั่น
นานเท่าไรไม่รู้
วันหนึ่งหัวใจตื่นขึ้นมาพบว่าแผลได้หายไปแล้ว
หัวใจร้องเรียกหาว่าใครที่รักษาแผลของหัวใจ
หัวใจลอยออกไปข้างนอกจนพบกับปัญญา
จึงถามปัญญาว่าใครที่เป็นผู้รักษาแผลให้หัวใจ
ปัญญาจึงตอบว่า"เวลา"เป็นผู้รักษาแผลของหัวใจ...
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)